วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554

ดาวเคราะห์เพชร



เขาว่าเพชรเม็ดงามคู่กับหญิงสวย แต่ลองถ้าเป็นเพชรเม็ดใหญ่เท่าดาวเนปจูนล่ะ? ก็คงต้องคู่กับนักดาราศาสตร์
เพชรเม็ดขนาดนี้มีอยู่จริง และอยู่ในดาราจักรทางช้างเผือกเรานี้เอง ไม่ใกล้ไม่ไกลแค่ 4,000 ปีแสง ในทิศทางของกลุ่มดาวงู ดาวเคราะห์ดวงนี้เป็นบริวารของพัลซาร์ พีเอสอาร์ เจ 1719-1438 (PSR J1719-1438) ค้นพบโดยคณะนักวิจัยนานาชาติที่ใช้กล้องโทรทรรศน์ไซโร (CSIRO) ของหอดูดาวพากส์ในออสเตรเลีย การสำรวจของคณะนี้ทำโดยถ่ายภาพตามจุดต่าง ๆ ของท้องฟ้าต่างกัน 90,000 จุด แต่ละจุดใช้เวลารับแสงนาน 9 นาที
พัลซาร์เกิดขึ้นเมื่อดาวฤกษ์ดวงหนึ่งได้ยุบลงไปเป็นดาวนิวตรอน พัลซาร์ทั่วไปมีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 20 กิโลเมตร มันจะยิงคลื่นวิทยุออกมาเป็นลำและกวาดออกไปในอวกาศ หากลำนั้นชี้มายังโลกและ และมีกล้องโทรทรรศน์ส่องอยู่ที่ตำแหน่งนั้น กล้องก็จะมองเห็นคลื่นวิทยุแผ่ออกมาเป็นพัลส์สั้น ๆ หากพัลซาร์นั้นมีดาวเคราะห์โคจรรอบอยู่ด้วย แรงโน้มถ่วงของดาวเคราะห์จะรบกวนพัลส์นี้ซึ่งตรวจจับได้ และนี่คือสาเหตุที่นักดาราศาสตร์ตรวจพบดาวเคราะห์ของพัลซาร์นี้ ปัจจุบันพบว่ามีพัลซาร์ราว 70 เปอร์เซ็นต์ที่มีดาวเคราะห์เป็นบริวาร
จากการวิเคราะห์การกล้ำของพัลส์วิทยุ นักดาราศาสตร์สามารถวัดคาบการโคจรรอบพัลซาร์ ระยะห่างจากพัลซาร์ และขนาดของดาวเคราะห์บริวารได้ สำหรับบริวารของ พีเอสอาร์ เจ 1719-1438 นี้มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางต่ำกว่า 60,000 กิโลเมตร อยู่ห่างจากพัลซาร์ 600,000 กิโลเมตร และโคจรรอบพัลซาร์ครบรอบทุก 2 ชั่วโมง
แม้ดาวเคราะห์ดวงนี้จะมีขนาดค่อนข้างเล็ก แต่มีความหนาแน่นมากกว่าดาวพฤหัสบดีที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 142,984 กิโลเมตร
ความหนาแน่นที่สูงกว่าปกตินี้เองที่เป็นเบาะแสถึงต้นกำเนิดที่ไม่ธรรมดาของดาวเคราะห์ดวงนี้ เมื่อนักดาราศาสตร์ศึกษารายละเอียดแล้ว กลับพบว่าแท้จริงแล้วเป็นซากของดาวฤกษ์มวลสูง ดาวฤกษ์ดวงนี้เคยเป็นดาวสหายกับพัลซาร์ เจ 1719-1438 มาก่อน สันนิษฐานว่ามันได้โคจรรอบพัลซาร์และตีวงแคบเข้าเรื่อย ๆ ทำให้พัลซาร์หมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วสูงมากพร้อมกับดึงดูดสสารจากผิวของดาวฤกษ์ไป
ปัจจุบันนี้กระบวนการแย่งสสารได้ยุติลงและระบบก็เข้าสู่เสถียรภาพแล้ว พัลซาร์ เจ 1719-1438 ได้กลายเป็นพัลซาร์มิลลิวินาที ที่หมุนรอบตัวเองเร็วถึง 10,000 รอบต่อนาที
ส่วนดาวฤกษ์ที่ถูกสูบเลือดสูบเนื้อไปมากถึง 99.9 เปอร์เซ็นต์ของมวลเดิม ขณะนี้หลือเพียงแกนที่เป็นคาร์บอน และด้วยเหตุที่มีความดันมหาศาล ทำให้คาร์บอนนี้มีโครงสร้างเป็นผลึกแบบเพชร แต่คาร์บอนในดาวดวงนี้จะมีความหนาแน่นมากกว่าเพชรบนโลกมาก

ที่มา http://thaiastro.nectec.or.th/news/viewnews.php?newsid=111

พบดาวเคราะห์อิสระ ไม่โคจรรอบดาวฤกษ์

พบดาวเคราะห์อิสระ ไม่โคจรรอบดาวฤกษ์

นักดาราศาสตร์ค้นพบดาวเคราะห์คล้ายดาวพฤหัสบดีประเภทใหม่ที่กำลังลอยเคว้งคว้างอยู่ในอวกาศโดยไม่โคจรรอบดาวฤกษ์ดวงใด เชื่อว่าดาวเคราะห์ประเภทนี้อาจมีมากกว่าดาวฤกษ์ถึงสองเท่า
"แม้ว่าดาวเคราะห์อิสระเป็นสิ่งที่นักดาราศาสตร์คาดคิดมานานแล้วว่ามีอยู่จริง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาค้นพบมันจริง ๆ" มาริโอ เปเรซ นักวิทยาศาสตร์จากสำนักงานใหญ่นาซากล่าว "นี่ส่งผลต่อแบบจำลองการกำเนิดดาวเคราะห์เป็นอย่างมาก"
การค้นพบครั้งนี้เป็นผลงานการวิจัยร่วมระหว่างญี่ปุ่นและนิวซีแลนด์ ชื่อว่าโครงการ โมอา (MOA--Microlensing Observations in Astrophysics) นำโดย ทะคะฮิโระ ซุมิ จากมหาวิทยาลัยโอซากา โครงการนี้ได้กวาดหาบริเวณใจกลางดาราจักรทางช้างเผือกระหว่างปี 2549-2550 ด้วยกล้องโทรทรรศน์ขนาด 1.8 เมตรที่หอดูดาวมหาวิทยาลัยเมาต์จอห์นในนิวซีแลนด์ กล้องนี้จะเน้นพื้นที่สำรวจบริเวณใจกลางดาราจักรทางช้างเผือก เพื่อหาปรากฏการณ์เลนส์จุลภาค (microlensing)
ผลปรากฏว่า ได้พบหลักฐานของดาวเคราะห์อิสระมากถึง 10 ดวง แต่ละดวงมีมวลใกล้เคียงดาวพฤหัสบดี อยู่ห่างจากโลกเฉลี่ยประมาณ 10,000-20,000 ปีแสง
การสำรวจนี้จะตรวจจับวัตถุที่มีขนาดเล็กกว่าดาวเสาร์ไม่ได้ แต่ตามทฤษฎีแล้วดาวมวลต่ำกว่าจะถูกเหวี่ยงให้หลุดออกจากวงโคจรดาวฤกษ์ได้บ่อยกว่าดาวมวลมาก ดังนั้นจึงเชื่อได้ว่า มีดาวเคราะห์อิสระมวลต่ำที่ยังไม่พบอีกเป็นจำนวนมาก จำนวนที่พบเพียง 10 ดวงนี้อาจเป็นเพียงส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น นักดาราศาสตร์คณะนี้ประเมินว่าในเอกภพอาจมีดาวเคราะห์ประเภทนี้มากถึงสองเท่าของจำนวนดาวฤกษ์ทั้งหมด นอกจากนี้ยังคาดว่าอาจมีจำนวนไม่น้อยไปกว่าดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดาวฤกษ์อีกด้วย หากเป็นเช่นนั้นจริง เฉพาะในดาราจักรทางช้างเผือกของเราก็น่าจะมีดาวเคราะห์อิสระแบบนี้มากถึงหลายแสนล้านดวงเลยทีเดียว
ดาวเคราะห์เหล่านี้เคยโคจรรอบดาวฤกษ์อย่างดาวเคราะห์ทั่วไปมาก่อน แต่ระบบสุริยะในช่วงเริ่มก่อตัวมีความปั่นป่วนอลหม่านมาก อันเกิดจากการรบกวนกันเองระหว่างดาวเคราะห์ด้วยกันหรือจากดาวฤกษ์ดวงอื่นที่ผ่านเข้ามาใกล้ ทำให้ดาวฤกษ์บางดวงถูกเหวี่ยงให้หลุดออกจากวงโคจร เมื่อดาวเคราะห์ไม่ได้โคจรรอบดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์อิสระเหล่านี้ก็ล่องลอยไปอย่างอิสระไปรอบใจกลางดาราจักรเช่นเดียวกับดาวฤกษ์
อย่างไรก็ตาม อาจมีความเป็นไปได้ที่ดาวเคราะห์บางดวงที่พบในครั้งนี้อาจมีกำเนิดแบบดาวฤกษ์ หรือเป็นดาวแคระน้ำตาลขนาดเล็ก นอกจากนี้ก็ยังมีความเป็นไปได้อีกว่าบางดวงอาจไม่ใช่ดาวเคราะห์อิสระเสียทีเดียว หากแต่โคจรรอบรอบดาวฤกษ์ดวงอื่นด้วยระยะห่างมาก ๆ แม้งานวิจัยงานอื่นจะชี้ว่าดาวเคราะห์มวลสูงที่มีวงโคจรกว้างมากอย่างนั้นมีโอกาสเกิดขึ้นได้ยากก็ตาม
ปรากฏการณ์เลนส์จุลภาค เกิดขึ้นจากวัตถุบางดวงเช่นดาวฤกษ์หรือดาวเคราะห์เคลื่อนมาผ่านหน้าดาวฤกษ์ดวงอื่นที่อยู่ห่างออกไป แรงโน้มถ่วงจากวัตถุที่อยู่ด้านหน้าจะเบี่ยงเบนแสงจากดาวเบื้องหลังคล้ายเลนส์แว่นขยาย ทำให้แสงจากดาวเบื้องหลังสว่างขึ้น หากวัตถุที่มาบังมีมวลมาก เช่นดาวฤกษ์มวลสูง จะมีรัศมีของเลนส์กว้าง อาจทำให้เวลาที่เกิดปรากฏการณ์เลนส์นานได้หลายสัปดาห์ ส่วนวัตถุมวลต่ำเช่นดาวเคราะห์ จะเบี่ยงเบนแสงได้น้อยกว่า และทำให้ระยะเวลาเกิดปรากฏการณ์เลนส์สั้นเพียงสองสามวันเท่านั้น
นอกจากคณะของโมอาแล้ว ยังมีคณะสำรวจอีกคณะหนึ่งคือ โอเกิล (OGLE--Optical Gravitational Lensing Experiment) ก็มีภารกิจการสำรวจทำนองเดียวกันด้วยกล้องขนาด 1.3 เมตรในชิลี คณะโอเกิลก็ค้นพบปรากฏการณ์ที่คณะโมอาพบเหมือนกัน จึงเป็นการยืนยันความถูกต้องของการวิเคราะห์ของโมอาเป็นอย่างดี

ที่มา:

Free-Floating Planets May Be More Common Than Stars - Science@NASA

วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554

แบบฝึกหัดดาราศาสตร์บทที่ 8

แบบฝึกหัดดาราศาสตร์บทที่ 8

1. เพราะเหตุใดจึงต้องส่งกล้องโทรทรรศน์ขึ้นไปโคจรรอบโลกในการศึกษาวัตถุท้องฟ้า
ตอบ 1 กล้องโทรทรรศน์ที่ติดตั้งอยู่บนพื้นโลกนั้นมีขีดจำกัดในการรับแสงจากอวกาศเพราะถูกชั้นบรรยากาศโลกดูดซับรังสีบางชนิดในอวกาศไป
2 กล้องโทรทรรศน์ที่ส่งขึ้นไปพร้อมยานอวกาศนั้น จะมีอุปกรณ์สำคัญติดตั้งไปกับกล้อง คือ ระบบคอมพิวเตอร์ กล้องถ่ายภาพมุมกว้าง เครื่องตรวจวัดสเปกตรัม เครื่องปรับทิศทางของกล้อง ซึ่งข้อมูลต่างๆ ที่ได้จากกล้อง จะทำให้เราได้เห็นรายละเอียดต่างๆ ของวัตถุท้องฟ้า ช่วยให้เกิดความเข้าใจถึงส่วนประกอบในระบบสุริยะ

2. ยานขนส่งอวกาศปล่อยดาวเทียมสื่อสารให้เข้าสู่วงโคจรได้อย่างไร
ตอบ ยานขนส่งอวกาศปล่อยดาวเทียมสื่อสารให้เข้าสู่วงโคจรได้ โดยให้อยู่เหนือผิวโลก 35,880 กิโลเมตร ในระดับนี้ดาวเทียมจะเคลื่อนที่รอบโลกเร็วเท่ากับโลกหมุนรอบตัวเอง

3. ท่านคิดว่า การอาศัยอยู่ในอวกาศของมนุษย์อวกาศเป็นระยะเวลานานๆ มีผลกระทบต่อมนุษย์อวกาศเหล่านั้นได้อย่างไร
ตอบ จะทำให้ร่างกายไม่แข็งแรงเพราะไม่ต้องใช้แรงในการยกสิ่งของมาก

4. การสำรวจอวกาศมีผลดีและผลเสียต่อมนุษย์และต่อโลกอย่างไร
ตอบ ผลดี
1 ทำให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างนอกโลก
2 หาดาวที่เหมาะแก่การดำรงชีวิต
3 สามารถรับมือกับภัยจากนอกโลกได้
ผลเสีย
1 ต้องใช้ต้นทุนสูง
2 ต้องใช้เทคโนโลยีที่สูงมาก

5. ถ้าต้องการส่งดาวเทียมให้โคจรรอบโลกที่ระดับความสูง 1000 กิโลเมตร ดาวเทียมต้องโคจรด้วยความเร็วเท่าไรจึงจะอยู่ในวงโคจรได้
ตอบ 7.351658552326815 กิโลเมตรต่อวินาที

6. ที่ระดับความสูงจากผิวโลก 3,620 กิโลเมตร ยานอวกาศจะต้องมีความเร็วเท่าไรจึงหลุดออกไปนอกโลกได้
ตอบ 8.931584405915896 กิโลเมตรต่อวินาที

แบบฝึกหัดดาราศาสตร์บทที่ 7

1. เพราะเหตุใดจึงกล่าวว่า ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์รุ่นหลัง
ตอบ เพราะว่า ดาวฤกษ์เกิดจากการยุบตัวของเนบิวลาที่เกิดจากแรงโน้มถ่วงของเนบิวลาเอง ทำให้ที่แกนกลางของเนบิวลาที่ยุบตัวลงนี้ จะมีอุณหภูมิสูงกว่าที่ขอบนอก เมื่ออุณหภูมิแกนกลางสูงมากขึ้น เป็นหลายแสนองศาเซลเซียส เรียกช่วงนี้ว่า “ดาวฤกษ์ก่อนเกิด” (protostar) หลัง จากที่ดวงอาทิตย์เพิ่งกำเนิดขึ้นมาจะคงสภาพที่ใหญ่กว่าปัจจุบันเล็กน้อย อุณหภูมิที่แกนกลางสูงขึ้นไปถึง 15 ล้านเคลวิน และปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ได้เริ่มต้นขึ้น หลอมนิวเคลียสไฮโดรเจนเป็นนิวเคลียสฮีเลียม เมื่อเกิดความสมดุลระหว่างแรงโน้มถ่วงกับแรงดันของแก๊สร้อน ทำให้ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์สมบูรณ์ จึงกล่าวได้ว่า ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์รุ่นหลัง

2.ดวงอาทิตย์เกิดขึ้นได้อย่างไร และจะมีวิวัฒนาการอย่างไร
ตอบ ดวงอาทิตย์เกิดจากการยุบตัวของเนบิวลา ซึ่งการยุบตัวนี้เกิดจากแรงโน้มถ่วงของเนบิวลาเอง เมื่อแก๊สยุบตัวลง ความดันของแก๊สจะสูงขึ้น ผลที่ตามมา คือ อุณหภูมิของแก๊สจะสูงขึ้นที่บริเวณแกนกลางเป็นหลายแสนองศาเซลเซียส เรียกช่วงนี้ว่า “ดาวฤกษ์ก่อนเกิด” เมื่อแรงโน้มถ่วงถึงให้แก๊สยุบตัวลงไปอีก อุณหภูมิสูงขึ้นเป็น 15 ล้านเคลวิน ซึ่งเป็นอุณหภูมิสูงมากพอที่จะเกิดปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ (thermonuclear reaction) หลอม นิวเคลียสไฮโดรเจนเป็นนิวเคลียสฮีเลียม

3.เพราะเหตุใดโลก ดาวศุกร์ ดาวอังคาร และดาวพุธ จึงถูกจัดเป็นดาวเคราะห์หิน และเกิดได้อย่างไร
ตอบ เพราะโลก ดาวศุกร์ ดาวอังคาร และดาวพุธ ต่างเป็นดาวเคราะห์ ที่มีพื้นผิวเป็นพื้นหินแข็งชัดเจน ดาวเคราะห์หินเกิดจากตอนที่ดาวเคราะห์เพิ่งกำเนิดขึ้นเมื่อ 4,600 ล้านปีมาแล้ว มีภูเขาน้ำแข็งและก้อนหินจำนวนมากที่เหลือจากการสร้างดวงอาทิตย์อยู่ใน บริเวณที่เป็นดาวเคราะห์หินในปัจจุบัน ต่อมาอีก 500 ล้านปี วัตถุก้อนใหญ่ก็ดึงก้อนเล็กเข้าหา เกิดการชนกันพอกพูนจนใหญ่

4.เพราะเหตุใดดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน จึงถูกจัดเป็นดาวเคราะห์แก๊ส และเกิดได้อย่างไร
ตอบ เพราะ มีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นแก๊สไฮโดรเจนหรือแก๊สแอมโมเนียและมีเทน ไม่มีพื้นผิวดาวชัดเจน ภายในดาวเคราะห์ยักษ์ เป็นแก๊สความดันสูงหรือแก๊สเหลว ซึ่งมักมีอุณหภูมิและความดันสูงมาก มีขนาดใหญ่ ดาวเคราะห์ยักษ์เกิดขึ้นเนื่องจากในขณะที่ระบบสุริยะกำลังเกิดขึ้นนั้น ดาวเคราะห์ยักษ์ขยายใหญ่ขึ้นมากกว่าดาวเคราะห์หิน

5.ดาวเคราะห์น้อยและดาวหาง อยู่บริเวณใดของระบบสุริยะ และเกิดได้อย่างไร
ตอบ ดาวเคราะห์น้อย จะโคจรอยู่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี ในระบบสุริยะ ดาวหางอยู่รอบนอกของระบบสุริยะ
ดาว เคราะห์น้อยเกิดจากเศษที่เหลือจากการพอกพูนของดาวเคราะห์หิน ถูกแรงรบกวนของดาวพฤหัสบดี ซึ่งมีขนาดใหญ่และเกิดมาก่อน ทำให้มวลสารในบริเวณแถบของดาวเคราะห์น้อยจับตัวกันมีขนาดใหญ่ไม่ได้ จึงปรากฏมีแต่ดาวเคราะห์น้อยขนาดเล็กๆ จำนวนมาก
ดาว หาง เกิดจากเศษเหลือจากดาวเคราะห์ยักษ์ที่ประกอบด้วยก้อนน้ำแข็งและแก๊สแข็งตัว หลายชนิด รวมทั้งฝุ่นที่ปะปนอยู่ เมื่อก้อนน้ำแข็งนี้เข้าใกล้ดวงอาทิตย์จะได้รับรังสี ทำให้เกิดการระเหิดของวัตถุบางส่วน เกิดการพุ่งกระจายของธุลี และแก๊สออกมาจากนิวเคลียสหรือแกน เป็นส่วนหัวของดาวหางและส่วนหาง


6.การลุกจ้าบนดวงอาทิตย์คืออะไร มีผลกระทบต่อโลกหรือไม่ อย่างไร
ตอบ ปรากฏการณ์การระเบิดจ้าบนดวงอาทิตย์ (Solar Flare) เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการระเบิดบนผิวของดวงอาทิตย์ การระเบิดจ้ามักเกิด ณ บริเวณที่เป็นจุด ซึ่งดวงอาทิตย์จะเกิดจุดมากที่สุดทุกๆ ประมาณ 11 ปี ช่วงที่มีจุดมากจะมีการระเบิดจ้ามากด้วย ทำให้อนุภาคโปรตอนและอิเล็กตรอนถูกปลดปล่อยจากดวงอาทิตย์ เป็นจำนวนมากกว่าปกติ เรียกว่า พายุสุริยะ
การระเบิดจ้ามีผลต่อโลก คือ การเกิดแสงเหนือ - แสงใต้ เกิดไฟฟ้าแรงสูงดับในประเทศที่อยู่ใกล้ขั้วโลก เกิดการติดขัดทางการสื่อสารโดยเฉพาะวิทยุคลื่นสั้นทั่วโลก และวงจรอิเล็กทรอนิกส์ในดาวเทียมอาจถูกทำลาย

แบบฝึกหัดดาราศาสตร์บทที่ 6

แบบฝึกหัดดาราศาสตร์บทที่ 6
1. ดาวฤกษ์แต่ละดวงมีความเหมือนและความแตกต่างกันในเรื่องใดบ้าง
ตอบ 1) มีพลังงานในตัวเอง
2) เป็นแหล่งกำเนิดธาตุต่างๆ เช่น ธาตุฮีเลียม ลิเทียม และเบริลเลียม
ดาวฤกษ์แต่ละดวงมีความแตกต่างกันดังนี้ คือ มวล อุณหภูมิผิว สี อายุ องค์ประกอบทางเคมี

2. หลุมดำคืออะไร ต่างจากดาวนิวตรอนอย่างไร
ตอบ หลุมดำ (Black hole) คือ บริเวณในอวกาศที่มีแรงโน้มถ่วงสูง ไม่มีอะไรออกจากบริเวณนี้ได้แม้แต่แสงสว่าง ซึ่งเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที ก็ออกจากหลุมดำไม่ได้

ดาวนิวตรอน (Neutron star) คือ ดาวซึ่งมีมวลอยู่ในช่วงระหว่าง 8 ถึง 18 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ ซึ่งได้ยุบตัวลงเนื่องจากแรงโน้มถ่วงของตัวเอง องค์ประกอบของดาวประกอบด้วยนิวตรอนล้วนๆ ดาวนิวตรอนมีขนาดเล็กมาก มีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียงประมาณ 10 กิโลเมตร และมีความหนาแน่นประมาณ 1017 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ดาวนิวตรอนสามารถตรวจพบได้
ในรูปของ พัลซาร์

3. เนบิวลาคืออะไร และเกี่ยวข้องกันกับดาวฤกษ์อย่างไร
ตอบ เนบิวลา คือ กลุ่มแก๊สและฝุ่นที่เกิดขึ้นในอวกาศภายในกาแล็กซีเกี่ยวข้องกันกับดาวฤกษ์ คือ ดาวฤกษ์เกิดจากการยุบรวมตัวของเนบิวลา เนบิวลาจึง เป็นแหล่งกำเนิดของดาวฤกษ์ทุกประเภท

4. ธาตุต่างๆ ในโลกและในตัวเรา เกิดจากที่ใด
ตอบ ธาตุต่างๆ ในโลกเกิดจากการระเบิดของกลุ่มแก๊สภายในดวงดาว

5. ดาวฤกษ์ที่อยู่ในกลุ่มดาวฤกษ์เดียวกัน อยู่ห่างจากโลกเท่ากันหรือไม่
ตอบ ดาวฤกษ์ที่อยู่ในกลุ่มดาวฤกษ์เดียวกัน จะอยู่ห่างจากโลกเท่ากัน เพราะการกำหนดรูปร่างของกลุ่มดาว จะถือเอาดาวฤกษ์ที่สว่างบางดวงในกลุ่มดาวแต่ละกลุ่มเป็นตัวกำหนด ทำให้แพรัลแลกซ์หรือความเหลื่อมของมุมในกลุ่มดาวฤกษ์เท่ากัน จึงอยู่ห่างจากโลกเท่านั้น

6. ดาวตานกอินทรีมีโชติมาตร 0.76 ดาว ดาววีกาโชติมาตร 0.03 ดาวหางหงส์มีโชติมาตร 1.25
ดาวปากหงส์มีโชติมาตร 3.36 ตามลำดับ จงเรียงลำดับดาวที่สว่างมากที่สุดไปยังน้อยที่สุด
ตอบ ดาวปากหงษ์ ดาวหางหงส์ ดาวตานกอินทรี และดาววีกา

7. ดาววีมีแพรัลแลกซ์ 0.129 พิลิปดา ดาววีกาอยู่ห่างจากโลกกี่ปีแสง
ตอบ ประมาณ 25 ปีแสง

แบบฝึกหัดดาราศาสตร์บทที่ 5

แบบฝึกหัดดาราสาสตร์บทที่ 5
1. เพราะเหตุใดนักดาราศาสตร์ส่วนใหญ่จึงเห็นด้วยกับทฤษฎีบิกแบก ที่ใช้อธิบายการกำเนิดเอกภพ
ตอบ 1) การขยายตัวของเอกภพ
2) อุณหภูมิพื้นหลังของเอกภพ ปัจจุบันลดลงเหลือ 2 - 73 เคลวิน

2. ธาตุอะไรมีมากที่สุดในเอกภพ
ตอบ ธาตุไฮโดรเจน

3. เอกภพประกอบด้วยระบบอะไรบ้าง
ตอบ ระบบสุริยะและระบบกาแล็กซี

4. เอกภพเมื่ออายุประมาณ 300,000 ปี มีธาตุอะไรบ้างเป็นองค์ประกอบสำคัญ
ตอบ ธาตุไฮโดรเจน และธาตุฮีเลียม

5. หลักฐานใดที่แสดงว่าเอกภพกำลังขยายตัวอยู่ในปัจจุบัน
ตอบ เอ็ดวิน ฮับเบิล ได้ใช้ข้อมูลจากการสังเกตกาแล็กซีต่างๆ จำนวนมากพบว่ากาแล็กซีเหล่านั้นเกิดปรากฏการณ์เลื่อนทางแดงของเส้นสเปกตรัม จากความรู้ทางฟิสิกส์พื้นฐานของนักวิทยาศาสตร์ทราบดีว่า เมื่อพบปรากฏการณ์เลื่อนทางแดงของวัตถุท้องฟ้าใด แสดงว่าวัตถุนั้นกำลังเคลื่อนที่ถอยหางออกจากผู้สังเกตบนโลก

6. กฎฮับเบิลมีว่าอย่างไร
ตอบ ค่าคงที่ของฮับเบิลเท่ากับ 70.1 ± 1.3 (กม./วินาที)/เมกะพาร์เซก ซึ่งสอดคล้องกับค่าที่คำนวณได้จากกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลเมื่อปี 2001 คือ 72 ± 8 (กม./วินาที)/เมกะพาร์เซก

7. ถ้าค่าแล้วเอกภพจะมีอายุและรัศมีประมาณเท่าใด
ตอบ ประมาณ 13,000 ล้านปี

8. คลื่นไมโครเวฟพื้นหลังจากอวกาศสนับสนุนทฤษฎีบิกแบงอย่างไร
ตอบ เพราะเป็นคลื่นไมโครเวฟที่หลงเหลืออยู่หลังจากการระเบิดออกของวัตถุความร้อน มหาศาล (ช่วง Big-Bang) หากไม่มี Big-Bang ก็จะไม่ตรวจพบคลื่นนี้

9. กาแล็กซีคืออะไร และมีกี่ประเภท อะไรบ้าง
ตอบ กาแลคซี (Galaxy) ซึ่งประกอบด้วย ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ อุกกาบาต ฝุ่นผงและ แก็สในอวกาศ
กาแลคซีเมื่อแบ่งโดยใช้รูปร่างเป็นเกณฑ์แบ่งออก 4 ประเภท คือ
1. กาแล็กซี่รูปวงกลมรี
2. กาแล็กซีรูปก้นหอย
3. กาแล็กซีรูปก้นหอยคาน
4. กาแล็กซีไร้รูปร่าง

10. กาแล็กซีทางช้างเผือกมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 100,000 ปีแสง คิดเป็นระยะทางกี่กิโลเมตร
ตอบ = 9.5 × 10^17 กิโลเมตร

11.ทางช้างเผือกกับกาแล็กซีทางช้างเผือก เหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร
ตอบ ทางช้างเผือก เกิดจากดาวฤกษ์หลายหมื่นล้านดวงที่มาอยู่รวมกัน เห็นเป็นแนวฝ้าขาวจางๆ
ขนาดกว้างประมาณ 15๐ พาดผ่านเป็นทางยาวรอบท้องฟ้า
กาแล็กซี ทางช้างเผือก ประกอบด้วยดาวฤกษ์ 200,000 ล้านดวงและเมฆฝุ่นกับแก๊ส
ที่เรียกว่า เนบิวลา รวมทั้งระบบสุริยะ ทางช้างเผือกเป็นส่วนหนึ่งของกาแล็กซี
ทางช้างเผือก

12.กาแล็กซีแมกเจลแลนใหญ่แตกต่างจากกาแล็กซีแอนโครเมดาอย่างไรบ้าง
ตอบ - กาแล็กซีแมกเจลแลนใหญ่ จะโคจรรอบทางช้างเผือกที่ระยะห่างประมาณ 200,000 ปีแสง เป็น
กาแล็กซีแบบไร้รูปทรงหรือมีรูปร่างไม่แน่นอน มีความสว่างมากจนสามารถมองเห็นได้คล้ายกับ
ก้อนเมฆในยามค่ำคืน อยู่ใกล้ขอบฟ้าทิศใต้ เป็นกาแล็กซีที่อยู่ใกล้เราที่สุด
- กาแล็กซีแอนโดรเมดา มองเห็นอยู่ในบริเวณท้องฟ้าทางเหนือ มีรูปร่างแบบกังหัน

วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

10 อันดับ ดาวน่าพิศวง ในจักรวาล

สำหรับนักดูดาวแล้ว ดาวฤกษ์บนท้องฟ้าจะส่องแสงระยิบระยับคล้ายๆกัน แต่ในความเป็นจริงดาวฤกษ์ในจักรวาลกำลังเดินไปบนเส้นทางวิวัฒนาการที่แตกต่างกัน เริ่มจากการระเบิด แต่จุดจบของมันก็ไม่ใช่ความสิ้นสุด ทว่าคือความแปรเปลี่ยนไปเป็นเทหวัตถุใหม่หลากหลายชนิด ตั้งแต่ดาวแคระขาวไปจนกระทั่งถึงหลุมดำ ซึ่งหลายชนิดมีความลึกลับและน่าพิศวงเป็นอย่างยิ่ง ต่อไปนี้คือ 10 อันดับดาวลึกลับหรือน่าพิศวงที่นักดาราศาสตร์จัดไว้

10 ดาวแคระขาว



เมื่อดาวฤกษ์ซึ่งมีมวลขนาดดวงอาทิตย์หรือน้อยกว่า1.4 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ เผาผลาญเชื้อเพลิงนิวเคลียร์หมดไป ผิวนอกของมันจะระเบิดและกระจายไปในอวกาศ ส่วนแกนกลางจะยุบตัวลงกลายเป็นดาวแคระขาว(white dwarf) นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเปลือกของดาวแคระขาวซึ่งมีความหนาราว 31 ไมล์หรือ 50 กิโลเมตรเป็นผลึกของคาร์บอนและออกซิเจนซึ่งคล้ายกับเพชร ดาวแคระขาวจึงถูกเรียกขานว่า”เพชรในอวกาศ”

9 ดาวแม็กเนตาร์



ดาวแม็กเนตาร์(Magnetars) คือดาวนิวตรอนชนิดหนึ่ง ความน่าพิศวงของมันก็คือ สนามแม่เหล็กของดาวแม็กเนตาร์มีพลังงานสูงกว่าสนามแม่เหล็กของโลกหลายพันล้านเท่า มันปล่อยรังสีเอ็กซ์ออกมาทุกๆ 10 วินาที และบางครั้งยังปล่อยรังสีแกมมาออกมาอีกด้วย

8 กระจุกดาว



ดาวฤกษ์ต่างๆในกาแล็กซี่ไม่ได้อยู่กันตามลำพังหรือเป็นคู่ๆ หรือสามสี่ดวงเท่านั้น ทว่ายังมีดาวฤกษ์อยู่ใกล้กันเป็นกระจุกอีกด้วย บางกระจุกดาวมีดาวฤกษ์เพียงไม่กี่สิบดวง แต่บางกระจุกดาวมีดาวฤกษ์มากถึงหลายล้านดวง ดาวฤกษ์เหล่านี้กำเนิดในช่วงเวลาเดียวกันและในบริเวณเดียวกันก็จริงแต่ทำไมพวกมันจึงอยู่รวมกันเป็นกระจุก? นี่เป็นปริศนาที่ยังหาคำตอบไม่ได้จนทุกวันนี้

7 พัลซาร์



ปี 1999 นักดาราศาสตร์ตรวจพบรังสีเอ็กซ์และรังสีแกมมาที่ปล่อยออกมาจากดาวนิวตรอน เชื่อกันในขณะนั้นว่ามันเป็นการระเบิดซึ่งเกิดจากการสั่นไหวของพื้นผิวดาวนิวตรอนที่เรียกว่า Starquake คล้ายกับแผ่นดินไหวบนโลก ทว่าการศึกษาเมื่อเร็วๆนี้ของ จอห์น มิดเดิลดิตช์ นักวิทยาศาสตร์ของห้องทดลองแห่งชาติลอส อลามอส และทีมงานพบว่ามันเกิดจากการหมุนรอบตัวเองอย่างรวดเร็วพัลซาร์ (Pulsar) ดาวนิวตรอนชนิดหนึ่ง และยังพบว่าเวลาการสั่นไหวในครั้งต่อไปของมันจะเป็นสัดส่วนกับขนาดของการสั่นไหวครั้งก่อน

6 ซุปเปอร์สตาร์



จักรวาลก็มีซุปเปอร์สตาร์ มันคือดาวนิวตรอน ( Neutron Stars ) ซึ่งเกิดจากดาวฤกษ์มวลมาก( 1.5 ถึง 3 เท่าของดวงอาทิตย์) ระเบิดเป็นซุปเปอร์โนวาเมื่อมันเผาพลาญเชื้อเพลิงนิวเคลียร์จนหมดและยุบตัวลง ดาวนิวตรอนเป็นดาวที่มีความหนาแน่นมากที่สุด อัดแน่นไปด้วยนิวตรอนเกือบทั้งหมด เนื้อดาวขนาดหนึ่งช้อนชาจะหนักถึงหนึ่งพันล้านตันบนโลกหรือมากกว่า ดาวนิวตรอนที่มีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์จะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเท่ากับเมืองเล็กๆเท่านั้น เมื่อปี 2005 นาซาตรวจพบดาวนิวตรอนสองดวงชนกันซึ่งปล่อยรังสีแกมมาออกมาอย่างมหาศาล มีความสว่างเท่ากับแสงของดวงอาทิตย์ถึง 100,000 ล้านล้านเท่า นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการชนกันของดาวนิวตรอนจะกลายเป็นหลุมดำในที่สุด

5 ดาว RRATs










นักดาราศาสตร์ค้นพบคลื่นวิทยุที่ส่งมาจากดาวปริศนาหลายดวงในกาแล็กซี่ทางเผือกเป็นช่วงๆและในเวลาสั้นๆเพียง 1 ในร้อยของวินาทีเท่านั้น การศึกษาพัลซาร์หรือดาวนิวตรอนที่หมุนรอบตัวเองอย่างรวดเร็วและปล่อยรังสีเอ็กซ์ รังสีแกมมา คลื่นวิทยุและแสงสว่างออกมาเป็นจังหวะ มากกว่า 800 ดวง พบว่าไม่ใช่ต้นตอแน่นอน เพราะการส่งคลื่นวิทยุของมันแตกต่างกัน แต่ดาวปริศนานี้ก็หมุนรอบตัวเองคล้ายกับพัลซาร์ นักดาราศาสตร์เรียกดาวปริศนานี้ว่า Rotating Radio Transients หรือRRATs และเชื่อว่ามันอาจจะเป็นดาวนิวตรอนชนิดหนึ่งที่มีวิวัฒนาการแตกต่างจากดาวนิวตรอนและดาวแม็กเนตาร์หรือกำลังวิวัฒนาการจากดาวนิวตรอนไปเป็นดาวแม็กเนตาร์ก็เป็นได้

4 ระบบดาวฤกษ์



ดาวฤกษ์ส่วนใหญ่ในกาแลกซี่ทางช้างเผือกไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวอย่างดวงอาทิตย์แต่อยู่รวมกันเป็นระบบที่เรียกว่า Multiple-Star Systems โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งจะอยู่กันเป็นคู่ๆที่เรียกว่า Binary Stars นอกจากพวกมันจะอยู่รวมกันแล้ว ดาวฤกษ์เหล่านี้จะมีดาวเคราะห์บริวารด้วยหรือไม่ ในปี 2005 นักดาราศาสตร์ก็ได้คำตอบเมื่อพบดาวเคราะห์บริวารดวงแรกของดาวเคราะห์คู่









3 ซุปเปอร์โนวา



ปรากฏการณ์ที่น่าตื่นเต้นที่สุดในท้องฟ้าอย่างหนึ่งก็คือ ซุปเปอร์โนวา (Supernova) การระเบิดของดาวฤกษ์มวลมากที่หมดอายุขัย ซึ่งจะส่งลำแสงพลังงานสูงและสสารสู่อวกาศ และยุบตัวลงเป็นดาวนิวตรอนหรือหลุมดำ ซุปเปอร์โนวามีความสว่างจ้าบนท้องฟ้าชั่วขณะหนึ่งซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแม้ในเวลากลางวัน นับตั้งแต่เกิดซุปเปอร์โนวาเคปเลอร์เมื่อปี 1604 แล้ว นักดาราศาสตร์ก็ยังไม่พบซุปเปอร์โนวาที่เกิดในกาแล็กซี่ทางช้างเผือกอีกเลย








2 โซลาร์แฟลร์




ดวงอาทิตย์ในระบบสุริยะก็มีความน่าพิศวง บรรยากาศของดวงอาทิตย์หรือ คอโรนา (Corona) จะมีอุณหภูมิสูงถึง 3.6 ล้านองศาฟาเรนไฮต์ หรือ 2 ล้านองศาเซลเซียส พลังงานความร้อนที่สูงมากขนาดนี้จะสาดอนุภาคพลังงานสูงที่มีประจุไฟฟ้าให้พุ่งออกจากดวงอาทิตย์ด้วยความเร็วสูงเกือบเท่าความเร็วแสง การประทุนี้เรียกกันว่าโซลาร์แฟลร์ (Solar Flares) ซึ่งทำให้เกิดพายุสุริยะ เมื่อพายุสุริยะเดินทางถึงชั้นบรรยากาศของโลกมันสามารถทำลายระบบสื่อสารและดาวเทียมของโลกหรือ แม้กระทั่งโทรศัพท์มือถือได้ การประทุโซลาร์แฟลร์ขนาดใหญ่ที่สุดมีพลังงานสูงเทียบเท่ากับระเบิดไฮโดรเจนหลายล้านลูก หรือมีพลังงานเพียงพอที่จะใช้ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้นานถึง 100,000 ปี ปัจจุบันนักดาราศาสตร์อยู่ในช่วงเริ่มต้นการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจโครงสร้างและปฏิกิริยาภายในของดวงอาทิตย์เพื่อจะทำนายปรากฏการณ์อันน่าพิศวงอย่างเช่นโซลาร์แฟลร์นี้

1 หลุมดำ


อันดับ 1 ก็คือหลุมดำ(Black Holes) หลุมดำกำเนิดจากการยุบตัวของดาวฤกษ์มวลมากเมื่อสิ้นอายุขัย ความน่าพิศวงของหลุมดำก็คือมันมีความหนาแน่นมากจนกระทั่งไม่มีสิ่งใดๆจะหลุดรอดจากแรงโน้มถ่วงอันมหาศาลของมันได้แม้กระทั่งแสง ปัจจุบันนักดาราศาสตร์พบหลักฐานว่าหลุมดำมีอยู่จริง และยังพบว่ามีหลุมดำยักษ์ที่เรียกว่า Supermassive Black Holes ซึ่งมักจะอยู่บริเวณใจกลางกาแล็กซี่ด้วย



วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2554

แบบฝึกหัดดาราศาสตร์บทที่ 4

แบบฝึกหัดดาราศาสตร์บทที่ 4

1. นักวิทยาศาสตร์ทราบได้อย่างไรว่า ครั้งหนึ่งบนโลกมีไดโนเสาร์อาศัยอยู่
ตอบ นักวิทยาศาสตร์พบหลักฐานการมีอยู่ของไดโนเสาร์โดยการศึกษาซาดึกดำบรรพ์

2. เพราะเหตุใดเราจึงไม่ค่อยพบซากดึกดำบรรพ์ในกลุ่มอัคนี และหินแปร
ตอบ เพราะหินอัคนีนั้นคือหินภูเขาที่พ่นออกมาและแข็งตัวลงดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะพบฟอสซิล
และหินแปรเป็นที่มีการแปรสภาพโดยความกดดันและความร้อนจึงเป็นเรื่องยากที่จะพบฟอสซิล
3. ซากดึกดำบรรพ์ที่ค้นพบสามารถบอกอะไรแก่เราได้บ้าง
ตอบ 1) บอกอายุของสิ่งมีชีวิเจ้าของฟอสซิล
2) บอกสภาพแวดล้อมในขนาดที่สิ่งมีชีวิตเจ้าของฟอสซิลยังดำรงชีวิตอยู่
3) บอกลักษณะของสิ่งมีชีวิตเจ้าของฟอสซิล
4) บอกสาเหตุการตายของสิ่งมีชีวิตเจ้าของฟอสซิล

4. ซากดึกกำบรรพ์ที่ดีและบ่งชี้อายุได้ชัดเจนควรเป็นอย่างไร อธิบายพร้อมยกตัวอย่างเท่าที่ทราบ
ตอบ ควรมีลักษณะสมบูรณ์ใกล้เคียงกับลักษณะตอนที่สิ่งมีชีวิตเจ้าของซากฟอสซิลนั้นยังมีชีวิตอยู่
เช่น ซากฟอสซิลช้างแมมอธชื่อ ลิวบาที่มีสภาพสมบูรณ์จากกาารถูกแช่แข็ง หรือซากแมลง
ที่อยู่ในอำพันซึ่งเกิดจากยางไม้

5. การลำดับชั้นหินและซากดึกดำบรรพ์ที่พบ มีความสำคัญอย่างไรกับการศึกษาความเป็นมาของโลก
ตอบ เพราะซากฟอสซิลและลำดับชั้นหินนั้นสามารถบอกได้ถึงอายุและความเก่าแก่ของเจ้าของซอสซิล
สภาพความเป็นอยู่ในขนาดมีชีวิต รวมไปถึงสาเหตุของการตายของสิ่งมีชีวิต ซึ่งล้วนแล้วแต่เชื่อม
โยงไปยังสภาพแวดล้อมของโลกในโดยซึ่งศึกษาจากหลักฐานทางเคมีในชั้นดิน เช่น
การศึกษาการสูญพันธุ์ของไดโดนเสาร์ไปจากโลกโดยการศึกษาซากฟอสซิลที่มีอายุอยู่ในช่วง
นั้นและตรวจสอบชั้นดินในขนาดนั้นเพื่อวิเคราะห์สาเหตุที่แท้จริง

6. ถ้านักเรียนสำรวจพบซากดึกดำบรรพ์ของปะการังบนยอดเขาแห่งหนึ่ง นักเรียนมีความเห็นเกี่ยวกับการกำเนิดภูเขานั้นอย่งไรจงอธิบาย
ตอบ 1) ภูเขาลูกนี้เกิดจากอยู่ยกตัวของพื้นดินที่มีสาเหตุมาจากการเคลื่อนที่ของแผ่นธรณี ทำให้ภูเขายก
ตัวขึ้นมาพ้นน้ำ
2) เกิดจากการลดลงของระดับน้ำทะเลทำให้ภูเขาใต้มหาสมุทรโผล่ขึ้นมาจากน้ำ
จาก 2 กรณียังไม่สามารถสรุปได้แน่นอนเพราะยังขาดหลักฐานอื่นที่ทำให้เชื่อได้ว่าเกิดจากกรณีใด
กรณีหนึ่ง

แบบฝึกหัดดาราศาสตร์บทที่ 3

แบบฝึกหัดดาราศาสตร์บทที่ 3

1. อธิบายความแตกต่างระหว่างคำต่อไปนี้ "ศูนย์เกิดแผ่นดินไหว" กับ "จุดเหนือศูนย์เกิดแผ่นดินไหว"
ตอบ ศูนย์เกิดแผ่นดินไหว คือตำแหน่งที่เกิดการเคลื่อนตัวของแผ่นดินที่ให้เกิดการสั่นไหว แต่
จุดเหนือศูนย์แผนดินไหว คือตำแหน่งที่อยู่เหนือตำแหน่งของตำแหน่งที่เกิดการเคลื่อนตัว
ของแผ่นดินที่ให้เกิดการสั่นไหวขึ้นมาบนพื้นดิน

2. แนวที่เกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณใดของผิวโลก ในประเทศไทยมีแยวเสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดหรือไม่
ตอบ แนวภูเขาไฟและแผ่นดินไหวนั้นจะอยู่บริเวณรอยเลื่อนต่างๆของเปลือกโลก ซึ่งประเทศไทยนั้นมีแนว
รอยเลื่อนขนาดเล็กอยู่ตามแนวชายแดนภาคตะวันตก แต่ภูเขาไฟในประเทศไทยไนั้นเป็นภูเขาไฟ
ที่ไม่มีพลังแล้วทั้งสิ้น

3. แมกมาที่แทรกตัวอยู่ตามรอยแยก รอยแตกของหินใต้พื้นผิวโลกเมื่อแข็งตัวจะกลายเป็นหินชนิดใด
ตอบ หินไรโอไลต์(Ryolite), หินแอนดีไซต์(Andesite), หินบะซอลต์(Basalt) หินทัฟฟ์ (tuff),
หินแอกโกเมอเรต (agglomerate), หินพัมมิซ (Pumice), หินสคอเรีย (Scoria), หินออบซีเดียน
(Obsedian) เป็นต้น

4. อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหว
ตอบ สาเหตุเกิดจากการเลื่อนของแผ่นธรณีทำให้เกิดความเครียดสะสมและปลดปล่อยออกมาเป็น
คลื่นปฐมภูมิ และคลื่นทติยภุมิ

5. นักเรียนคิดอย่างไรจากคำกล่าวที่ว่า "ภูเขาไฟเสมือนหน้าต่างที่สามารถมองเห็นถึงภายในโลก"
ตอบ เป็นคำเปรียบเทียบถึงการที่เรา สามารถนำวัตถุที่ภูเขาไฟพ่นออกมาเพื่อศึกษา และองค์ประกอบ
ของหินเพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบภายในโลก

6. บอกประโยชน์และโทษของการเกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด
ตอบ ประโยชน์ของภูเขาไฟระเบิด
1) ทำให้เกิดแผ่นดินใหม่
2) แร่ธาตุมหาศาลทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์บนพื้นดิน
3) ทำให้สามารถศึกษาองค์ประกอบของโลกจากการศึกษาองค์ประกอบของธาตุที่ภูเขาไฟ
พ่นออกมา
4) ทำให้เกิดอัญมณีมีค่าทางเศรษฐกิจ
5) เป็นแหล่องท่องเที่ยวเชิงวิทยาศาสตร์
โทษของภูเขาไฟ
1) สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อชีวิตและทรัพย์ต่อพื้นที่โดยรอบ
2) ภูเขาไฟทำให้เกิดควันพิษและเขม่าปริมาณมหาศาลขึ้นชั้นบรรยากาศทำให้โลกเสียสมดุล
ประโยชน์ของแผ่นดินไหว
1) ทำให้ศึกษาวิจัยโครงสร้างภายในโลกโดยวัด และวิเคราะห์จากคลื่นของการสั้นสะเทือน
2) กระตุ้นการสะสมตัวของแหล่งแร่
โทษของแผ่นดินไหว
1) เกิดความเสียหายต่อชีวิต และทัรพย์สินเป็นอย่างมากเนื่องจากไม่สามารถพยากรณ์ได้
จึงเป็นเรื่องยากที่จะป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหาย

7. อธิบายความหมายของคำต่อไปนี้ "ภูเขาไฟมีพลัง" และ"คาบอุบัติซ้ำ"
ตอบ ภูเขาไฟมีพลัง หมายถึง ภูเขาไฟที่ยังสามารถประทุขึ้นได้อีก
คาบอุบัติซ้ำ หมายถึง ระยะเวลาครบรอบของแผ่นดินไหวที่เคยเกิดขึ้น ณ ที่ใดที่หนึ่ง
เกิดมาซ้ำในที่เดิมอีก

แบบฝึกหัดดาราศาสตร์บทที่ 2

แบบฝึกหัดดาราศาสตร์บทที่ 2

1. หลักฐานที่แสดงว่าทวีปต่างๆ เคยเชื่อมต่อกันมีอะไรบ้าง
ตอบ 1) หลักฐานจากรอยต่อของทวีป
2) หลักฐานจากความคล้ายคลึงกันของกลุ่มหิน และแนวภูเขา
3) หลักฐานจากหินที่เกิดจากการสะสมตัวของตะกอนจากธารนำแข็ง
4) หลักฐานจากซากดึกดำบรรพ์

2. นักเรียนเข้าใจเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของทวีปอย่างไร ให้อธิบายและยกตัวอย่างหลักฐานหรือข้อมูลที่นักวิทยาศาสตร์ใช้เป็นเหตุผล สนับสนุน
ตอบ การเคลื่อนที่ของทวีปนั้น เป็นผลที่เกิดจากวัฏจักรของหิน ซึ่งหลักฐานก็ทราบได้จากการเคลื่อนที่
ของแผ่นดินที่ทำให้เกิดการมุดตัวของแผ่นธรณี การที่แผ่นดินใหม่เกิดขึ้นจากการระเบิดของ
ภูเขาไฟ และการเกิดภูเขาโดยการชนกันของแผ่นดิน

3. เพราะเหตุใดปรากฏการณ์ภูเขาไฟระเบิดและแผ่นดินไหว มักเกิดตามเขตมุดตัวของแผ่นธรณี
ตอบ เพราะบริเวณเขตมุดตัวของแผ่นธรณีนั้นจะเกิดความกดดัน และความร้อนมหาศาลจาก
การเคลื่อนตัวของแผ่นทวีป ทำให้หินที่มีจุดหลอมเหลวต่ำเกิดการหลอมเหลวและกลายเป็น
แมกมาประทุขึ้นมาจากรอยแตกของแผ่นดิน

4. รอยโค้ง รอยแตก รอยเลื่อนในหินมีลักษณะเหมือนกันหรือไม่
ตอบ มีลักษณะแตกต่างกันไป เพราะเกิดจากบริเวณที่มีการเคลื่อนที่ของแผ่นแตกต่างกัน เช่น
แผนทวีปชนกัน การมุดตัว หรือการเลื่อนของแผ่นดิน เป็นต้น

5. จากแนวการเคลื่อนที่ของแผ่นธรณีต่างๆ จะมีผลต่อภูมิประเทศของโลกอย่างไรในอนาคต
ตอบ จะทำให้เกิดเกาะใหม่ หรือการจมลงของเกาะเดิม หรือเกิดการแยกตัวของทวีป หรือการชนกัน
ของทวีป ทำให้เกิดทวีปใหม่ๆหรือการรวมกันของทวีป ซึ่งจะทำให้ภูมิประเทศเปลี่ยนไปจากเดิม

วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2554

แบบฝึกหัดดาราศาสตร์บทที่ 1

แบบฝึกหัดดาราศาสตร์บทที่ 1

1. หินต้นกำเนิดแมกมาส่วนใหญ่อยู่บริเวณชั้นเนื้อโลกตอนบนให้นักเรียนบอกประเภท และส่วนประกอบของหินกำเนิดแมกมา
ตอบ 1 หินหนืดบะซอลต์ ประกอบด้วย ซิลิก้าออกไซด์ (SiO2) ร้อยละ 45 - 55 อัลคาไลทั้งหมดร้อยละ
2 - 6 ไททาเนียม ออกไซด์ (TiO2) ร้อยละ 0.5 - 2.0 เหล็กออกไซด์ (FeO) ร้อยละ 5 - 14
และอะลูมินา (Al2O3) ร้อยละ 14 หรือมากกว่า แคลเซียมออกไซด์ (CaO) เกือบร้อยละ 10
และแมกนีเซียมออกไซด์ (MgO) อยู่ระหว่างร้อยละ 5 - 12 โดยน้ำหนัก
2 หินหนืดแกรนิต ประกอบด้วย ซิลิก้าออกไซด์ (SiO2) ร้อยละ 72.04 อะลูมินา (Al2O3) ร้อยละ
14.42 แคลเซียมออกไซด์ (CaO) ร้อยละ 1.82 เหล็กออกไซด์ (FeO) ร้อยละ 1.68
แมกนีเซียมออกไซด์ (MgO) ร้อยละ 0.71 แทลเลียมออกไซต์ (TiO2) ร้อยละ 0.30
แมงกานีสออกไซต์ (MnO) ร้อยละ 0.05 โพแทสเซียมออกไซต์ (K2O) ร้อยละ 4.12
โซเดียมออกไซต์ (Na2O) ร้อยละ 3.69 เหล็กออกไซด์ (Fe2O3)ร้อยละ 1.22
และไดฟอสฟอรัสเตตระออกไซต์ ร้อยละ 0.12 โดยน้ำหนัก
3 หินหนืดไดออไรด์ ประกอบด้วย หินแกรนิต และหินบะซอลต์
2. คลื่น P และ S มีความแตกต่างกันอย่างไร
ตอบ 1. คลื่น P มีความเร็วมากกว่าคลื่น S
2. คลื่น P สามารถผ่านตัวกลางที่เป็นของเหลวได้ แต่คลื่น S ไม่สามารถผ่านตัวกลางที่เป็นของ
เหลวได้
3. เมื่อเกิดแผ่นดินไหว ณ บริเวณใดบริเวณหนึ่ง จะเกิดเขตอับคลื่น S ที่ครอบคลุมผิวโลกบริเวณกว้าง
นักเรียนจะอธิบายปรากฏกาณ์นี้อย่างไร
ตอบ คลื่น S เป็นคลื่นที่ไม่สามารถผ่านตัวกลางที่เป็นของเหลวได้ ทำให้ไม่สามารถผ่านแก่นโลก
ชั้นนอกที่มีตัวกลางเป็นของเหลวได้จึงทำให้เกิดเขตอับคลื่น
4. ให้นักเรียนทำแผนผังสรุปโครงสร้างต่อไปนี้ โดยเติมลงในช่องว่างให้สมบูรณ์