วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554

ดาวเคราะห์เพชร



เขาว่าเพชรเม็ดงามคู่กับหญิงสวย แต่ลองถ้าเป็นเพชรเม็ดใหญ่เท่าดาวเนปจูนล่ะ? ก็คงต้องคู่กับนักดาราศาสตร์
เพชรเม็ดขนาดนี้มีอยู่จริง และอยู่ในดาราจักรทางช้างเผือกเรานี้เอง ไม่ใกล้ไม่ไกลแค่ 4,000 ปีแสง ในทิศทางของกลุ่มดาวงู ดาวเคราะห์ดวงนี้เป็นบริวารของพัลซาร์ พีเอสอาร์ เจ 1719-1438 (PSR J1719-1438) ค้นพบโดยคณะนักวิจัยนานาชาติที่ใช้กล้องโทรทรรศน์ไซโร (CSIRO) ของหอดูดาวพากส์ในออสเตรเลีย การสำรวจของคณะนี้ทำโดยถ่ายภาพตามจุดต่าง ๆ ของท้องฟ้าต่างกัน 90,000 จุด แต่ละจุดใช้เวลารับแสงนาน 9 นาที
พัลซาร์เกิดขึ้นเมื่อดาวฤกษ์ดวงหนึ่งได้ยุบลงไปเป็นดาวนิวตรอน พัลซาร์ทั่วไปมีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 20 กิโลเมตร มันจะยิงคลื่นวิทยุออกมาเป็นลำและกวาดออกไปในอวกาศ หากลำนั้นชี้มายังโลกและ และมีกล้องโทรทรรศน์ส่องอยู่ที่ตำแหน่งนั้น กล้องก็จะมองเห็นคลื่นวิทยุแผ่ออกมาเป็นพัลส์สั้น ๆ หากพัลซาร์นั้นมีดาวเคราะห์โคจรรอบอยู่ด้วย แรงโน้มถ่วงของดาวเคราะห์จะรบกวนพัลส์นี้ซึ่งตรวจจับได้ และนี่คือสาเหตุที่นักดาราศาสตร์ตรวจพบดาวเคราะห์ของพัลซาร์นี้ ปัจจุบันพบว่ามีพัลซาร์ราว 70 เปอร์เซ็นต์ที่มีดาวเคราะห์เป็นบริวาร
จากการวิเคราะห์การกล้ำของพัลส์วิทยุ นักดาราศาสตร์สามารถวัดคาบการโคจรรอบพัลซาร์ ระยะห่างจากพัลซาร์ และขนาดของดาวเคราะห์บริวารได้ สำหรับบริวารของ พีเอสอาร์ เจ 1719-1438 นี้มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางต่ำกว่า 60,000 กิโลเมตร อยู่ห่างจากพัลซาร์ 600,000 กิโลเมตร และโคจรรอบพัลซาร์ครบรอบทุก 2 ชั่วโมง
แม้ดาวเคราะห์ดวงนี้จะมีขนาดค่อนข้างเล็ก แต่มีความหนาแน่นมากกว่าดาวพฤหัสบดีที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 142,984 กิโลเมตร
ความหนาแน่นที่สูงกว่าปกตินี้เองที่เป็นเบาะแสถึงต้นกำเนิดที่ไม่ธรรมดาของดาวเคราะห์ดวงนี้ เมื่อนักดาราศาสตร์ศึกษารายละเอียดแล้ว กลับพบว่าแท้จริงแล้วเป็นซากของดาวฤกษ์มวลสูง ดาวฤกษ์ดวงนี้เคยเป็นดาวสหายกับพัลซาร์ เจ 1719-1438 มาก่อน สันนิษฐานว่ามันได้โคจรรอบพัลซาร์และตีวงแคบเข้าเรื่อย ๆ ทำให้พัลซาร์หมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วสูงมากพร้อมกับดึงดูดสสารจากผิวของดาวฤกษ์ไป
ปัจจุบันนี้กระบวนการแย่งสสารได้ยุติลงและระบบก็เข้าสู่เสถียรภาพแล้ว พัลซาร์ เจ 1719-1438 ได้กลายเป็นพัลซาร์มิลลิวินาที ที่หมุนรอบตัวเองเร็วถึง 10,000 รอบต่อนาที
ส่วนดาวฤกษ์ที่ถูกสูบเลือดสูบเนื้อไปมากถึง 99.9 เปอร์เซ็นต์ของมวลเดิม ขณะนี้หลือเพียงแกนที่เป็นคาร์บอน และด้วยเหตุที่มีความดันมหาศาล ทำให้คาร์บอนนี้มีโครงสร้างเป็นผลึกแบบเพชร แต่คาร์บอนในดาวดวงนี้จะมีความหนาแน่นมากกว่าเพชรบนโลกมาก

ที่มา http://thaiastro.nectec.or.th/news/viewnews.php?newsid=111

พบดาวเคราะห์อิสระ ไม่โคจรรอบดาวฤกษ์

พบดาวเคราะห์อิสระ ไม่โคจรรอบดาวฤกษ์

นักดาราศาสตร์ค้นพบดาวเคราะห์คล้ายดาวพฤหัสบดีประเภทใหม่ที่กำลังลอยเคว้งคว้างอยู่ในอวกาศโดยไม่โคจรรอบดาวฤกษ์ดวงใด เชื่อว่าดาวเคราะห์ประเภทนี้อาจมีมากกว่าดาวฤกษ์ถึงสองเท่า
"แม้ว่าดาวเคราะห์อิสระเป็นสิ่งที่นักดาราศาสตร์คาดคิดมานานแล้วว่ามีอยู่จริง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาค้นพบมันจริง ๆ" มาริโอ เปเรซ นักวิทยาศาสตร์จากสำนักงานใหญ่นาซากล่าว "นี่ส่งผลต่อแบบจำลองการกำเนิดดาวเคราะห์เป็นอย่างมาก"
การค้นพบครั้งนี้เป็นผลงานการวิจัยร่วมระหว่างญี่ปุ่นและนิวซีแลนด์ ชื่อว่าโครงการ โมอา (MOA--Microlensing Observations in Astrophysics) นำโดย ทะคะฮิโระ ซุมิ จากมหาวิทยาลัยโอซากา โครงการนี้ได้กวาดหาบริเวณใจกลางดาราจักรทางช้างเผือกระหว่างปี 2549-2550 ด้วยกล้องโทรทรรศน์ขนาด 1.8 เมตรที่หอดูดาวมหาวิทยาลัยเมาต์จอห์นในนิวซีแลนด์ กล้องนี้จะเน้นพื้นที่สำรวจบริเวณใจกลางดาราจักรทางช้างเผือก เพื่อหาปรากฏการณ์เลนส์จุลภาค (microlensing)
ผลปรากฏว่า ได้พบหลักฐานของดาวเคราะห์อิสระมากถึง 10 ดวง แต่ละดวงมีมวลใกล้เคียงดาวพฤหัสบดี อยู่ห่างจากโลกเฉลี่ยประมาณ 10,000-20,000 ปีแสง
การสำรวจนี้จะตรวจจับวัตถุที่มีขนาดเล็กกว่าดาวเสาร์ไม่ได้ แต่ตามทฤษฎีแล้วดาวมวลต่ำกว่าจะถูกเหวี่ยงให้หลุดออกจากวงโคจรดาวฤกษ์ได้บ่อยกว่าดาวมวลมาก ดังนั้นจึงเชื่อได้ว่า มีดาวเคราะห์อิสระมวลต่ำที่ยังไม่พบอีกเป็นจำนวนมาก จำนวนที่พบเพียง 10 ดวงนี้อาจเป็นเพียงส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น นักดาราศาสตร์คณะนี้ประเมินว่าในเอกภพอาจมีดาวเคราะห์ประเภทนี้มากถึงสองเท่าของจำนวนดาวฤกษ์ทั้งหมด นอกจากนี้ยังคาดว่าอาจมีจำนวนไม่น้อยไปกว่าดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดาวฤกษ์อีกด้วย หากเป็นเช่นนั้นจริง เฉพาะในดาราจักรทางช้างเผือกของเราก็น่าจะมีดาวเคราะห์อิสระแบบนี้มากถึงหลายแสนล้านดวงเลยทีเดียว
ดาวเคราะห์เหล่านี้เคยโคจรรอบดาวฤกษ์อย่างดาวเคราะห์ทั่วไปมาก่อน แต่ระบบสุริยะในช่วงเริ่มก่อตัวมีความปั่นป่วนอลหม่านมาก อันเกิดจากการรบกวนกันเองระหว่างดาวเคราะห์ด้วยกันหรือจากดาวฤกษ์ดวงอื่นที่ผ่านเข้ามาใกล้ ทำให้ดาวฤกษ์บางดวงถูกเหวี่ยงให้หลุดออกจากวงโคจร เมื่อดาวเคราะห์ไม่ได้โคจรรอบดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์อิสระเหล่านี้ก็ล่องลอยไปอย่างอิสระไปรอบใจกลางดาราจักรเช่นเดียวกับดาวฤกษ์
อย่างไรก็ตาม อาจมีความเป็นไปได้ที่ดาวเคราะห์บางดวงที่พบในครั้งนี้อาจมีกำเนิดแบบดาวฤกษ์ หรือเป็นดาวแคระน้ำตาลขนาดเล็ก นอกจากนี้ก็ยังมีความเป็นไปได้อีกว่าบางดวงอาจไม่ใช่ดาวเคราะห์อิสระเสียทีเดียว หากแต่โคจรรอบรอบดาวฤกษ์ดวงอื่นด้วยระยะห่างมาก ๆ แม้งานวิจัยงานอื่นจะชี้ว่าดาวเคราะห์มวลสูงที่มีวงโคจรกว้างมากอย่างนั้นมีโอกาสเกิดขึ้นได้ยากก็ตาม
ปรากฏการณ์เลนส์จุลภาค เกิดขึ้นจากวัตถุบางดวงเช่นดาวฤกษ์หรือดาวเคราะห์เคลื่อนมาผ่านหน้าดาวฤกษ์ดวงอื่นที่อยู่ห่างออกไป แรงโน้มถ่วงจากวัตถุที่อยู่ด้านหน้าจะเบี่ยงเบนแสงจากดาวเบื้องหลังคล้ายเลนส์แว่นขยาย ทำให้แสงจากดาวเบื้องหลังสว่างขึ้น หากวัตถุที่มาบังมีมวลมาก เช่นดาวฤกษ์มวลสูง จะมีรัศมีของเลนส์กว้าง อาจทำให้เวลาที่เกิดปรากฏการณ์เลนส์นานได้หลายสัปดาห์ ส่วนวัตถุมวลต่ำเช่นดาวเคราะห์ จะเบี่ยงเบนแสงได้น้อยกว่า และทำให้ระยะเวลาเกิดปรากฏการณ์เลนส์สั้นเพียงสองสามวันเท่านั้น
นอกจากคณะของโมอาแล้ว ยังมีคณะสำรวจอีกคณะหนึ่งคือ โอเกิล (OGLE--Optical Gravitational Lensing Experiment) ก็มีภารกิจการสำรวจทำนองเดียวกันด้วยกล้องขนาด 1.3 เมตรในชิลี คณะโอเกิลก็ค้นพบปรากฏการณ์ที่คณะโมอาพบเหมือนกัน จึงเป็นการยืนยันความถูกต้องของการวิเคราะห์ของโมอาเป็นอย่างดี

ที่มา:

Free-Floating Planets May Be More Common Than Stars - Science@NASA

วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554

แบบฝึกหัดดาราศาสตร์บทที่ 8

แบบฝึกหัดดาราศาสตร์บทที่ 8

1. เพราะเหตุใดจึงต้องส่งกล้องโทรทรรศน์ขึ้นไปโคจรรอบโลกในการศึกษาวัตถุท้องฟ้า
ตอบ 1 กล้องโทรทรรศน์ที่ติดตั้งอยู่บนพื้นโลกนั้นมีขีดจำกัดในการรับแสงจากอวกาศเพราะถูกชั้นบรรยากาศโลกดูดซับรังสีบางชนิดในอวกาศไป
2 กล้องโทรทรรศน์ที่ส่งขึ้นไปพร้อมยานอวกาศนั้น จะมีอุปกรณ์สำคัญติดตั้งไปกับกล้อง คือ ระบบคอมพิวเตอร์ กล้องถ่ายภาพมุมกว้าง เครื่องตรวจวัดสเปกตรัม เครื่องปรับทิศทางของกล้อง ซึ่งข้อมูลต่างๆ ที่ได้จากกล้อง จะทำให้เราได้เห็นรายละเอียดต่างๆ ของวัตถุท้องฟ้า ช่วยให้เกิดความเข้าใจถึงส่วนประกอบในระบบสุริยะ

2. ยานขนส่งอวกาศปล่อยดาวเทียมสื่อสารให้เข้าสู่วงโคจรได้อย่างไร
ตอบ ยานขนส่งอวกาศปล่อยดาวเทียมสื่อสารให้เข้าสู่วงโคจรได้ โดยให้อยู่เหนือผิวโลก 35,880 กิโลเมตร ในระดับนี้ดาวเทียมจะเคลื่อนที่รอบโลกเร็วเท่ากับโลกหมุนรอบตัวเอง

3. ท่านคิดว่า การอาศัยอยู่ในอวกาศของมนุษย์อวกาศเป็นระยะเวลานานๆ มีผลกระทบต่อมนุษย์อวกาศเหล่านั้นได้อย่างไร
ตอบ จะทำให้ร่างกายไม่แข็งแรงเพราะไม่ต้องใช้แรงในการยกสิ่งของมาก

4. การสำรวจอวกาศมีผลดีและผลเสียต่อมนุษย์และต่อโลกอย่างไร
ตอบ ผลดี
1 ทำให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างนอกโลก
2 หาดาวที่เหมาะแก่การดำรงชีวิต
3 สามารถรับมือกับภัยจากนอกโลกได้
ผลเสีย
1 ต้องใช้ต้นทุนสูง
2 ต้องใช้เทคโนโลยีที่สูงมาก

5. ถ้าต้องการส่งดาวเทียมให้โคจรรอบโลกที่ระดับความสูง 1000 กิโลเมตร ดาวเทียมต้องโคจรด้วยความเร็วเท่าไรจึงจะอยู่ในวงโคจรได้
ตอบ 7.351658552326815 กิโลเมตรต่อวินาที

6. ที่ระดับความสูงจากผิวโลก 3,620 กิโลเมตร ยานอวกาศจะต้องมีความเร็วเท่าไรจึงหลุดออกไปนอกโลกได้
ตอบ 8.931584405915896 กิโลเมตรต่อวินาที

แบบฝึกหัดดาราศาสตร์บทที่ 7

1. เพราะเหตุใดจึงกล่าวว่า ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์รุ่นหลัง
ตอบ เพราะว่า ดาวฤกษ์เกิดจากการยุบตัวของเนบิวลาที่เกิดจากแรงโน้มถ่วงของเนบิวลาเอง ทำให้ที่แกนกลางของเนบิวลาที่ยุบตัวลงนี้ จะมีอุณหภูมิสูงกว่าที่ขอบนอก เมื่ออุณหภูมิแกนกลางสูงมากขึ้น เป็นหลายแสนองศาเซลเซียส เรียกช่วงนี้ว่า “ดาวฤกษ์ก่อนเกิด” (protostar) หลัง จากที่ดวงอาทิตย์เพิ่งกำเนิดขึ้นมาจะคงสภาพที่ใหญ่กว่าปัจจุบันเล็กน้อย อุณหภูมิที่แกนกลางสูงขึ้นไปถึง 15 ล้านเคลวิน และปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ได้เริ่มต้นขึ้น หลอมนิวเคลียสไฮโดรเจนเป็นนิวเคลียสฮีเลียม เมื่อเกิดความสมดุลระหว่างแรงโน้มถ่วงกับแรงดันของแก๊สร้อน ทำให้ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์สมบูรณ์ จึงกล่าวได้ว่า ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์รุ่นหลัง

2.ดวงอาทิตย์เกิดขึ้นได้อย่างไร และจะมีวิวัฒนาการอย่างไร
ตอบ ดวงอาทิตย์เกิดจากการยุบตัวของเนบิวลา ซึ่งการยุบตัวนี้เกิดจากแรงโน้มถ่วงของเนบิวลาเอง เมื่อแก๊สยุบตัวลง ความดันของแก๊สจะสูงขึ้น ผลที่ตามมา คือ อุณหภูมิของแก๊สจะสูงขึ้นที่บริเวณแกนกลางเป็นหลายแสนองศาเซลเซียส เรียกช่วงนี้ว่า “ดาวฤกษ์ก่อนเกิด” เมื่อแรงโน้มถ่วงถึงให้แก๊สยุบตัวลงไปอีก อุณหภูมิสูงขึ้นเป็น 15 ล้านเคลวิน ซึ่งเป็นอุณหภูมิสูงมากพอที่จะเกิดปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ (thermonuclear reaction) หลอม นิวเคลียสไฮโดรเจนเป็นนิวเคลียสฮีเลียม

3.เพราะเหตุใดโลก ดาวศุกร์ ดาวอังคาร และดาวพุธ จึงถูกจัดเป็นดาวเคราะห์หิน และเกิดได้อย่างไร
ตอบ เพราะโลก ดาวศุกร์ ดาวอังคาร และดาวพุธ ต่างเป็นดาวเคราะห์ ที่มีพื้นผิวเป็นพื้นหินแข็งชัดเจน ดาวเคราะห์หินเกิดจากตอนที่ดาวเคราะห์เพิ่งกำเนิดขึ้นเมื่อ 4,600 ล้านปีมาแล้ว มีภูเขาน้ำแข็งและก้อนหินจำนวนมากที่เหลือจากการสร้างดวงอาทิตย์อยู่ใน บริเวณที่เป็นดาวเคราะห์หินในปัจจุบัน ต่อมาอีก 500 ล้านปี วัตถุก้อนใหญ่ก็ดึงก้อนเล็กเข้าหา เกิดการชนกันพอกพูนจนใหญ่

4.เพราะเหตุใดดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน จึงถูกจัดเป็นดาวเคราะห์แก๊ส และเกิดได้อย่างไร
ตอบ เพราะ มีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นแก๊สไฮโดรเจนหรือแก๊สแอมโมเนียและมีเทน ไม่มีพื้นผิวดาวชัดเจน ภายในดาวเคราะห์ยักษ์ เป็นแก๊สความดันสูงหรือแก๊สเหลว ซึ่งมักมีอุณหภูมิและความดันสูงมาก มีขนาดใหญ่ ดาวเคราะห์ยักษ์เกิดขึ้นเนื่องจากในขณะที่ระบบสุริยะกำลังเกิดขึ้นนั้น ดาวเคราะห์ยักษ์ขยายใหญ่ขึ้นมากกว่าดาวเคราะห์หิน

5.ดาวเคราะห์น้อยและดาวหาง อยู่บริเวณใดของระบบสุริยะ และเกิดได้อย่างไร
ตอบ ดาวเคราะห์น้อย จะโคจรอยู่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี ในระบบสุริยะ ดาวหางอยู่รอบนอกของระบบสุริยะ
ดาว เคราะห์น้อยเกิดจากเศษที่เหลือจากการพอกพูนของดาวเคราะห์หิน ถูกแรงรบกวนของดาวพฤหัสบดี ซึ่งมีขนาดใหญ่และเกิดมาก่อน ทำให้มวลสารในบริเวณแถบของดาวเคราะห์น้อยจับตัวกันมีขนาดใหญ่ไม่ได้ จึงปรากฏมีแต่ดาวเคราะห์น้อยขนาดเล็กๆ จำนวนมาก
ดาว หาง เกิดจากเศษเหลือจากดาวเคราะห์ยักษ์ที่ประกอบด้วยก้อนน้ำแข็งและแก๊สแข็งตัว หลายชนิด รวมทั้งฝุ่นที่ปะปนอยู่ เมื่อก้อนน้ำแข็งนี้เข้าใกล้ดวงอาทิตย์จะได้รับรังสี ทำให้เกิดการระเหิดของวัตถุบางส่วน เกิดการพุ่งกระจายของธุลี และแก๊สออกมาจากนิวเคลียสหรือแกน เป็นส่วนหัวของดาวหางและส่วนหาง


6.การลุกจ้าบนดวงอาทิตย์คืออะไร มีผลกระทบต่อโลกหรือไม่ อย่างไร
ตอบ ปรากฏการณ์การระเบิดจ้าบนดวงอาทิตย์ (Solar Flare) เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการระเบิดบนผิวของดวงอาทิตย์ การระเบิดจ้ามักเกิด ณ บริเวณที่เป็นจุด ซึ่งดวงอาทิตย์จะเกิดจุดมากที่สุดทุกๆ ประมาณ 11 ปี ช่วงที่มีจุดมากจะมีการระเบิดจ้ามากด้วย ทำให้อนุภาคโปรตอนและอิเล็กตรอนถูกปลดปล่อยจากดวงอาทิตย์ เป็นจำนวนมากกว่าปกติ เรียกว่า พายุสุริยะ
การระเบิดจ้ามีผลต่อโลก คือ การเกิดแสงเหนือ - แสงใต้ เกิดไฟฟ้าแรงสูงดับในประเทศที่อยู่ใกล้ขั้วโลก เกิดการติดขัดทางการสื่อสารโดยเฉพาะวิทยุคลื่นสั้นทั่วโลก และวงจรอิเล็กทรอนิกส์ในดาวเทียมอาจถูกทำลาย

แบบฝึกหัดดาราศาสตร์บทที่ 6

แบบฝึกหัดดาราศาสตร์บทที่ 6
1. ดาวฤกษ์แต่ละดวงมีความเหมือนและความแตกต่างกันในเรื่องใดบ้าง
ตอบ 1) มีพลังงานในตัวเอง
2) เป็นแหล่งกำเนิดธาตุต่างๆ เช่น ธาตุฮีเลียม ลิเทียม และเบริลเลียม
ดาวฤกษ์แต่ละดวงมีความแตกต่างกันดังนี้ คือ มวล อุณหภูมิผิว สี อายุ องค์ประกอบทางเคมี

2. หลุมดำคืออะไร ต่างจากดาวนิวตรอนอย่างไร
ตอบ หลุมดำ (Black hole) คือ บริเวณในอวกาศที่มีแรงโน้มถ่วงสูง ไม่มีอะไรออกจากบริเวณนี้ได้แม้แต่แสงสว่าง ซึ่งเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที ก็ออกจากหลุมดำไม่ได้

ดาวนิวตรอน (Neutron star) คือ ดาวซึ่งมีมวลอยู่ในช่วงระหว่าง 8 ถึง 18 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ ซึ่งได้ยุบตัวลงเนื่องจากแรงโน้มถ่วงของตัวเอง องค์ประกอบของดาวประกอบด้วยนิวตรอนล้วนๆ ดาวนิวตรอนมีขนาดเล็กมาก มีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียงประมาณ 10 กิโลเมตร และมีความหนาแน่นประมาณ 1017 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ดาวนิวตรอนสามารถตรวจพบได้
ในรูปของ พัลซาร์

3. เนบิวลาคืออะไร และเกี่ยวข้องกันกับดาวฤกษ์อย่างไร
ตอบ เนบิวลา คือ กลุ่มแก๊สและฝุ่นที่เกิดขึ้นในอวกาศภายในกาแล็กซีเกี่ยวข้องกันกับดาวฤกษ์ คือ ดาวฤกษ์เกิดจากการยุบรวมตัวของเนบิวลา เนบิวลาจึง เป็นแหล่งกำเนิดของดาวฤกษ์ทุกประเภท

4. ธาตุต่างๆ ในโลกและในตัวเรา เกิดจากที่ใด
ตอบ ธาตุต่างๆ ในโลกเกิดจากการระเบิดของกลุ่มแก๊สภายในดวงดาว

5. ดาวฤกษ์ที่อยู่ในกลุ่มดาวฤกษ์เดียวกัน อยู่ห่างจากโลกเท่ากันหรือไม่
ตอบ ดาวฤกษ์ที่อยู่ในกลุ่มดาวฤกษ์เดียวกัน จะอยู่ห่างจากโลกเท่ากัน เพราะการกำหนดรูปร่างของกลุ่มดาว จะถือเอาดาวฤกษ์ที่สว่างบางดวงในกลุ่มดาวแต่ละกลุ่มเป็นตัวกำหนด ทำให้แพรัลแลกซ์หรือความเหลื่อมของมุมในกลุ่มดาวฤกษ์เท่ากัน จึงอยู่ห่างจากโลกเท่านั้น

6. ดาวตานกอินทรีมีโชติมาตร 0.76 ดาว ดาววีกาโชติมาตร 0.03 ดาวหางหงส์มีโชติมาตร 1.25
ดาวปากหงส์มีโชติมาตร 3.36 ตามลำดับ จงเรียงลำดับดาวที่สว่างมากที่สุดไปยังน้อยที่สุด
ตอบ ดาวปากหงษ์ ดาวหางหงส์ ดาวตานกอินทรี และดาววีกา

7. ดาววีมีแพรัลแลกซ์ 0.129 พิลิปดา ดาววีกาอยู่ห่างจากโลกกี่ปีแสง
ตอบ ประมาณ 25 ปีแสง

แบบฝึกหัดดาราศาสตร์บทที่ 5

แบบฝึกหัดดาราสาสตร์บทที่ 5
1. เพราะเหตุใดนักดาราศาสตร์ส่วนใหญ่จึงเห็นด้วยกับทฤษฎีบิกแบก ที่ใช้อธิบายการกำเนิดเอกภพ
ตอบ 1) การขยายตัวของเอกภพ
2) อุณหภูมิพื้นหลังของเอกภพ ปัจจุบันลดลงเหลือ 2 - 73 เคลวิน

2. ธาตุอะไรมีมากที่สุดในเอกภพ
ตอบ ธาตุไฮโดรเจน

3. เอกภพประกอบด้วยระบบอะไรบ้าง
ตอบ ระบบสุริยะและระบบกาแล็กซี

4. เอกภพเมื่ออายุประมาณ 300,000 ปี มีธาตุอะไรบ้างเป็นองค์ประกอบสำคัญ
ตอบ ธาตุไฮโดรเจน และธาตุฮีเลียม

5. หลักฐานใดที่แสดงว่าเอกภพกำลังขยายตัวอยู่ในปัจจุบัน
ตอบ เอ็ดวิน ฮับเบิล ได้ใช้ข้อมูลจากการสังเกตกาแล็กซีต่างๆ จำนวนมากพบว่ากาแล็กซีเหล่านั้นเกิดปรากฏการณ์เลื่อนทางแดงของเส้นสเปกตรัม จากความรู้ทางฟิสิกส์พื้นฐานของนักวิทยาศาสตร์ทราบดีว่า เมื่อพบปรากฏการณ์เลื่อนทางแดงของวัตถุท้องฟ้าใด แสดงว่าวัตถุนั้นกำลังเคลื่อนที่ถอยหางออกจากผู้สังเกตบนโลก

6. กฎฮับเบิลมีว่าอย่างไร
ตอบ ค่าคงที่ของฮับเบิลเท่ากับ 70.1 ± 1.3 (กม./วินาที)/เมกะพาร์เซก ซึ่งสอดคล้องกับค่าที่คำนวณได้จากกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลเมื่อปี 2001 คือ 72 ± 8 (กม./วินาที)/เมกะพาร์เซก

7. ถ้าค่าแล้วเอกภพจะมีอายุและรัศมีประมาณเท่าใด
ตอบ ประมาณ 13,000 ล้านปี

8. คลื่นไมโครเวฟพื้นหลังจากอวกาศสนับสนุนทฤษฎีบิกแบงอย่างไร
ตอบ เพราะเป็นคลื่นไมโครเวฟที่หลงเหลืออยู่หลังจากการระเบิดออกของวัตถุความร้อน มหาศาล (ช่วง Big-Bang) หากไม่มี Big-Bang ก็จะไม่ตรวจพบคลื่นนี้

9. กาแล็กซีคืออะไร และมีกี่ประเภท อะไรบ้าง
ตอบ กาแลคซี (Galaxy) ซึ่งประกอบด้วย ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ อุกกาบาต ฝุ่นผงและ แก็สในอวกาศ
กาแลคซีเมื่อแบ่งโดยใช้รูปร่างเป็นเกณฑ์แบ่งออก 4 ประเภท คือ
1. กาแล็กซี่รูปวงกลมรี
2. กาแล็กซีรูปก้นหอย
3. กาแล็กซีรูปก้นหอยคาน
4. กาแล็กซีไร้รูปร่าง

10. กาแล็กซีทางช้างเผือกมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 100,000 ปีแสง คิดเป็นระยะทางกี่กิโลเมตร
ตอบ = 9.5 × 10^17 กิโลเมตร

11.ทางช้างเผือกกับกาแล็กซีทางช้างเผือก เหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร
ตอบ ทางช้างเผือก เกิดจากดาวฤกษ์หลายหมื่นล้านดวงที่มาอยู่รวมกัน เห็นเป็นแนวฝ้าขาวจางๆ
ขนาดกว้างประมาณ 15๐ พาดผ่านเป็นทางยาวรอบท้องฟ้า
กาแล็กซี ทางช้างเผือก ประกอบด้วยดาวฤกษ์ 200,000 ล้านดวงและเมฆฝุ่นกับแก๊ส
ที่เรียกว่า เนบิวลา รวมทั้งระบบสุริยะ ทางช้างเผือกเป็นส่วนหนึ่งของกาแล็กซี
ทางช้างเผือก

12.กาแล็กซีแมกเจลแลนใหญ่แตกต่างจากกาแล็กซีแอนโครเมดาอย่างไรบ้าง
ตอบ - กาแล็กซีแมกเจลแลนใหญ่ จะโคจรรอบทางช้างเผือกที่ระยะห่างประมาณ 200,000 ปีแสง เป็น
กาแล็กซีแบบไร้รูปทรงหรือมีรูปร่างไม่แน่นอน มีความสว่างมากจนสามารถมองเห็นได้คล้ายกับ
ก้อนเมฆในยามค่ำคืน อยู่ใกล้ขอบฟ้าทิศใต้ เป็นกาแล็กซีที่อยู่ใกล้เราที่สุด
- กาแล็กซีแอนโดรเมดา มองเห็นอยู่ในบริเวณท้องฟ้าทางเหนือ มีรูปร่างแบบกังหัน